รัฐบาลวอชิงตันกล่าวว่า กฎหมาย “เพิ่มอำนาจ” ให้แก่หน่วยยามฝั่ง ที่จีนประกาศใช้เมื่อเดือนที่แล้ว จะกลายเป็นการ “คุกคาม” ประเทศซึ่งกำลังมีปัญหากันเรื่องการแย่งชิงอาณาเขตทางทะเล โดยเฉพาะทะเลจีนใต้
สำนักข่าวต่างประเทศรายงานจากกรุงวอชิงตัน ประเทศสหรัฐอเมริกา เมื่อวันที่ 20 ก.พ.ว่านายเน็ด ไพรซ์ โฆษกกระทรวงการต่างประเทศสหรัฐ กล่าวในช่วงหนึ่งของการแถลงประจำวันศุกร์ที่ผ่านมา ว่ารัฐบาลวอชิงตันมีความวิตกกังวล ต่อกฎหมายพาณิชย์นาวี หรือกฎหมายหน่วยยามฝั่ง ฉบับใหม่ของจีน ซึ่งมีผลบังคับใช้เมื่อปลายเดือนที่แล้ว มีการใช้ถ้อยคำซึ่งเจ้าหน้าที่ของรัฐบาลปักกิ่งอาจอาศัยเป็นการ “ข่มขู่” ประเทศเพื่อนบ้าน ที่กำลังมีข้อพิพาททางทะเลต่อกัน โดยเฉพาะทะเลจีนใต้ ที่คณะอนุญาโตตุลาการระหว่างประเทศ มีคำวินิจฉัยแล้ว เมื่อปี 2559
ทั้งนี้ กฎหมายดังกล่าวมีเนื้อหาสำคัญรวมถึง การให้อำนาจแก่หน่วยยามฝั่ง “ใช้มาตรการที่จำเป็นตามกรอบของกฎหมาย” ที่รวมถึง “การใช้อาวุธ” เมื่ออธิปไตยของชาติ สิทธิและขอบเขตตามอำนาจอธิปไตย “ถูกล่วงละเมิด” โดยกองกำลังหรือบุคคลต่างชาติ ที่เผชิญหน้ากันในท้องทะเล
ขณะเดียวกัน เจ้าหน้าที่หน่วยยามฝั่งยังมีอำนาจ “ตามกฎหมาย” ในการทำลายและรื้อถอน สิ่งก่อสร้างที่ผู้ใดก็ตามมาปลูกไว้บนแนวปะการัง โขดหิน สันดอน และเกาะแห่งใดก็ตาม “ซึ่งอยู่ภายใต้กรรมสิทธิ์ของจีน” และการยึดหรือกดดันให้เรือของต่างชาติที่รุกล้ำน่านน้ำถอยร่นกลับออกไปด้วย ซึ่งไพรซ์กล่าวว่า รัฐบาลสหรัฐทุกสมัยมีจุดยืนชัดเจน ว่าการที่รัฐบาลปักกิ่งอ้างกรรมสิทธิ์เหนือพื้นที่เกือบทั้งหมดในทะเลจีนใต้นั้น “ผิดกฎหมายอย่างสิ้นเชิง”
ในอีกด้านหนึ่ง กระทรวงกลาโหมของไต้หวันรายงานว่า อากาศยานของกองทัพปลดปล่อยประชาชนจีน ( พีแอลเอ ) ได้แก่ เครื่องบินขับไล่อเนกประสงค์ เจ-16 จำนวน 4 ลำ และเครื่องบินทิ้งระเบิด เจเอช-7 อีก 4 ลำ ละเมิดเขตพิสูจน์ฝ่ายป้องกันภัยทางอากาศ ( เอดีไอแซด ) บริเวณหมู่เกาะตงซา เมื่อวันศุกร์ และเครื่องบินรบของไต้หวันได้บินประกบจนกระทั่งฝูงเครื่องบินของจีนออกไปจากพื้นที่